วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

สมชายโต้แก้รธน.เพื่อทักษิณ ลั่นสุดท้ายจะทราบความจริง [23 เม.ย. 51 - 12:51]


นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าววันนี้ (23 เม.ย.) กรณีโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ที่จะโอนสำนักงานอัยการสูงสุด กลับไปอยู่กระทรวงยุติธรรม ว่า ให้สอบถามอัยการสูงสุด ส่วนตัวเห็นว่าสิ่งใดดีเป็นประโยชน์ ก็พร้อมสนับสนุน ส่วนความเห็นที่แตกต่างและมีการแบ่งฝ่ายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ ไม่อยากให้มีการแบ่งแยก ควรฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน ความเห็นที่แตกต่าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่สุดก็ต้องเป็นไปตามกรอบกติกา และหากทำความเข้าใจกันได้ก็เป็นเรื่องที่ดี
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อกรณีมีการวิจารณ์ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า จะช่วยได้อย่างไร และไม่ควรเอาคน ๆ เดียวเป็นตัวตั้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น แม้ตนจะรู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่หากทำเช่นนี้ก็ไม่ยอม เพราะต้องทำเพื่อคนทั้งประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ วางมือทางการเมืองแล้ว หากแก้แล้วก็ไม่มีอะไรเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ผู้สื่อข่าวถามว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ วิจารณ์การเดินสายทำบุญของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการแสดงบารมี นายสมชาย กล่าวว่า แล้วแต่จะคิด ส่วนสังคมจะเชื่อหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เลิกเล่นการเมืองหรือไม่นั้น เรื่องนี้ได้อธิบายแล้ว จะเชื่อหรือไม่ เป็นเรื่องของแต่ละคน สุดท้ายจะทราบว่าความจริงคืออะไร
ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคได้แสดงจุดยืนชัดเจนมาโดยลำดับ แต่ต้องยอมรับว่า มีโอกาสน้อยในการได้ชี้แจงผ่านรายการโทรทัศน์ของรัฐ รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้สื่อของรัฐทำงานโดยอิสระเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลอย่างรอบด้าน
"จุดยืนของเราได้พูดชัดว่าควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญเสียก่อน จากนั้นจึงกำหนดว่าจะนำไปสู่ประเด็นการแก้ไขอย่างไร แต่ขณะนี้ไม่มีการศึกษาปัญหา มีแต่ปัญหาส่วนตัวของคนบางคน และพรรคการเมืองบางพรรคแล้วไปสรุปว่าจะต้องแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการข้ามขั้นตอน" นายจุรินทร์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ตั้งคนกลางขึ้นมาศึกษาปัญหารัฐธรรมนูญ อาจให้องค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น สถาบันพระปกเกล้า เป็นเจ้าภาพ ระดมความเห็นของทุกฝ่ายมาประมวล หลังจากนั้นจึงสรุปว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงการดำเนินการโดยรัฐสภาโดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาปัญหาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ
"ความจริงญัตติของรัฐบาลที่จะเสนอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญก็มี แต่ดูเหมือนว่าจะโดนดองไว้ เพราะรัฐบาลมุ่งเป้าว่าไม่ต้องศึกษา ต้องการเร่งรัดเป็นหลัก การเร่งรัดนี้จึงนำมาซึ่งการต่อต้าน ส่วนความคิดที่จะแก้โดยใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง และมองว่ารัฐบาลถอยแล้ว แต่ความจริงรัฐบาลไม่ได้ถอย อย่าไปตกหลุมพราง ตบตาประชาชน การเอารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง เป็นการเปลี่ยนวิธีการแต่เป้าหมายยังได้เหมือนเดิม เพราะรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่มีมาตรา 237 และ 309 เท่ากับความผิดคดียุบพรรคจะสามารถอาศัยช่องว่างตรงนี้หลบหนีไปได้" นายจุรินทร์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 เป็นการถอยกลับไปใช้วิธีการสรรหาองค์กรอิสระแบบเก่าที่ตัวแทนพรรคการเมืองสามารถเข้ามาเป็นกรรมการสรรหาองค์กรอิสระได้ เมื่อยกเลิกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. )และลดวาระของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้ว ในที่สุดรัฐบาลร่วม 6 พรรคการเมืองจะใช้ 6 เสียงนี้ในการชี้เป็นชี้ตายว่าจะเอาใครมาเป็นกรรมการองค์กรอิสระ รัฐบาลมีความต้องการใช้ช่องว่างนำคนที่สั่งได้มาช่วยเหลือคดียุบพรรคและคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อแปลความผิดให้กลายเป็นถูก
ขณะที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรค มีคณะกรรมการดำเนินการ ที่ต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน มีการถ่วงดุลอำนาจ และการตรวจสอบ เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย ทุกพรรคอาจมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ที่สุดจะได้ข้อสรุปร่วมกัน ส่วนการหารือกับนายกรัฐมนตรี นั้น ขณะนี้ ยังไม่ได้รับการติดต่อมา แต่เห็นว่า หากการพูดคุยสามารถแก้ปัญหาได้ ทุกฝ่ายควรหันหน้าพูดคุยกัน
ส่วน นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมชุมนุมใหญ่วันที่ 25 เม.ย. เพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ขอต้อนรับทุกอย่างที่เป็นการตรวจสอบรัฐบาลอย่างถูกต้อง แต่ระบบรัฐสภามีอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้หายไปไหน แต่ถ้าจะมีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ามาตรวจสอบอีกก็ทำได้ เพราะทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในระบอบประชาธิปไตย การทำงานของรัฐบาลรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ยอมรับมีการโต้ตอบกันบ้าง แต่ไม่มีเจตนาทำให้เกิดความไม่สงบในสังคม และต้องขอบคุณสื่อที่นำเสนอข่าว มีการแยกแยะอย่างเป็นระบบ ทั้งข้าราชการ องค์กรเอกชน นักวิชาการ ไม่ทำให้เกิดความแตกแยก และจะทำให้ประเทศกลับคืนสู่ความสมดุล อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้ แต่ก็ต้องมีขอบเขต

ไม่มีความคิดเห็น: